ราชวงศ์สจ๊วต (ค.ศ. 1603 ถึง ค.ศ. 1707) ของ ประวัติศาสตร์อังกฤษ

แม้พระเจ้าเฮนรีที่ 8 จะตัดชาวสก็อตออกไปมิให้สืบบัลลังก์อังกฤษ แต่พระนางอลิซาเบธทรงมิได้อภิเษกและไม่มีทายาท พระเจ้าเจมส์ที่ 6 แห่งสกอตแลนด์ ราชวงศ์สจ๊วต (Stuart) พระญาติที่ใกล้ชิดที่สุด จึงได้ครองบัลลังก์อังกฤษ เป็นพระเจ้าเจมส์ที่ 1 เป็นการรวมสองอาณาจักร (Union of Crowns) แต่ในทางปฏิบัติแล้วสองอาณาจักรนี้ยังแยกกันอยู่ มีรัฐสภาเป็นของตน เพียงแต่มีกษัตริย์องค์เดียวกัน

แต่ทรงครองราชย์ได้ไม่นานพระเจ้าเจมส์ทรงถูกลอบปลงพระชนม์ถึงสามครั้ง คือ Main Plot , Bye Plot และที่สำคัญที่สุดคือ Gunpowder Plot ในปี ค.ศ. 1605 โดยพวกคาทอลิก พระเจ้าเจมส์ทรงพยายามจะรวมสองอาณาจักร แต่ก็ถูกรัฐสภาทั้งสองอาณาจักรคัดค้าน ในปี ค.ศ. 1611 ทรงให้พิมพ์คัมภีร์ไบเบิลพระเจ้าเจมส์ (King James' Bible) ในค.ศ. 1607 ชาวอังกฤษตั้งอาณานิคมเจมส์ทาวน์ (Jamestown ตั้งชื่อตามพระนาม) เป็นจุดเริ่มต้นของอาณานิคมอเมริกา พระเจ้าเจมส์ทรงเชื่อในเทวสิทธิ์ของพระมหากษัตริย์ (Divine Rights of Kings) ว่ากษัตริย์นั้นเป็นดั่งพระเจ้า ทรงถูกเสมอและไม่เป็นที่สงสัย

พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ในสามมุมมอง

พระโอรสของพระเจ้าเจมส์ คือ พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ก็ทรงได้รับความเชื่อนี้จากพระบิดา และพระองค์นั้นก็ทรงอภิเษกกับเฮนเรียตตา มาเรียแห่งฝรั่งเศส สมเด็จพระราชินีแห่งอังกฤษ (Henriette-Marie) พระธิดาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1625 ทำให้บรรดาขุนนางเกรงว่าองค์รัชทายาทนั้นจะเป็นคาทอลิคตามพระมารดา พระเจ้าชาร์ลส์ทรงต้องการจะเข้าร่วมสงครามสามสิบปี แต่เงินที่จะใช้นั้นต้องผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา ที่ไม่เห็นด้วยจะให้อังกฤษทำสงครามที่ตนไม่เกี่ยวเลย เมื่อรัฐสภาไม่ให้ ก็ทรงส่งดยุกแห่งบัคกิงแฮมไปบุกฝรั่งเศสเอง แต่พ่ายแพ้ ทำให้รัฐสภาจะปลดท่านดยุก พระเจ้าชาร์ลส์จึงชิงยุบรัฐสภาเสียในปี ค.ศ. 1627

พระเจ้าชาร์ลส์ทรงตั้งองค์การเรียกร้องสิทธิ (Petition of Right) เพื่อรีดทรัพย์สินจากประชาชนมาใช้ ทรงไม่เรียกประชุมรัฐสภาอีกเลย เรียกว่าสมัยการปกครองส่วนพระองค์ แม้จะทรงพยายามทุกวิธีทางเพื่อจะหารายได้ แต่ก็ไม่พอพระองค์ใช้อยู่ดี และพระองค์ยังสนับสนุนนิกายแองกลิกันสูง (High Anglican) เป็นเชิร์ช ออฟ อิงแลนด์ที่เอียงไปทางคาทอลิก แต่พระองค์ทรงผิดพลาด โดยทรงพยายามจะบังคับให้สกอตแลนด์นับถือนิกายนี้ด้วย แต่สกอตแลนด์นั้นเป็นอิสระมาหลายร้อยปี คงไม่ยอมง่ายๆ พระเจ้าชาร์ลส์ทรงสั่งให้พิมพ์ Book of Common Prayer แจกในสกอตแลนด์ในปี ค.ศ. 1637 ชาวสก็อตก็ลุกฮือ พระเจ้าชาร์ลส์ทรงนำทัพเข้าปราบแต่ไม่สำเร็จ จนทรงยอมจำนนต่อสกอตแลนด์ในปี ค.ศ. 1640

ทรงต้องการเงินไปปราบสกอตแลนด์ ถึงเรียกประชุมรัฐสภาอีกครั้ง แต่รัฐสภาก็ฉวยโอกาสตำหนิการใช้พระราชอำนาจอันเกินควรของพระองค์ ทำให้พระองค์ยุบสภาไปทันที เรียกว่า รัฐสภาสั้น (Short Parliament) แต่ก็ทรงพ่ายแพ้สกอตแลนด์อีก จึงทรงเรียกประชุมสภาอีกครั้ง เป็นรัฐสภายาว คราวนี้รัฐสภาออกกฎหมายจำกัดพระราชอำนาจหลายประการ ในปี ค.ศ. 1641 พวกไอริชที่เป็นคาทอลิกก่อจลาจล

สงครามกลางเมืองอังกฤษ (ค.ศ. 1642) ถึง ค.ศ. 1649

ดูบทความหลักที่: สงครามกลางเมืองอังกฤษ

พระเจ้าชาร์ลส์ทรงนำทัพเข้าบุกรัฐสภา เพื่อจับกุมขุนนางบางคน แต่ไม่สำเร็จ จึงทรงหลบหนีออกไปจากลอนดอนไปทางเหนือ เป็นจุดเริ่มต้นของ 'สงครามกลางเมืองอังกฤษ' เมืองต่างๆในอังกฤษประกาศตนเข้าฝ่ายรัฐสภาหรือกษัตริย์ ทั้งสองฝ่ายต่อสู้ทำสงครามกัน ระหว่างฝ่ายกษัตริย์นิยม และฝ่ายรัฐสภา (Parliamentarian) ในปี ค.ศ. 1645 ฝ่ายรัฐสภาปรับปรุงกองทัพเป็นกองทัพตัวแบบใหม่ พระเจ้าชาร์ลส์ทรงพ่ายแพ้ยับเยิน จนทรงหนีไปสกอตแลนด์ในปี ค.ศ. 1646

พระเจ้าชาร์ลส์ทรงเจรจากับพวกสก็อต แต่ก็ทรงถูกส่งพระองค์ให้ฝ่ายรัฐสภา ในปี ค.ศ. 1648 ทัพสกอตจึงบุกอังกฤษ แต่ก็แพ้ฝ่ายรัฐสภา ถึงตอนนี้พวกรัฐสภาแบ่งเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายที่ยังต้องการให้พระเจ้าชาร์ลส์ครองราชย์ต่อกับฝ่ายที่จะล้มล้างพระองค์ ในปีเดียวกัยนายพลไพรด์ (Colonel Pride) นำทัพยึดอำนาจจากพวกที่ผ่อนปรนพระเจ้าชาร์ลส์ กลายเป็นรัฐสภารัมพ์ ประกาศยกเลิกระบอบกษัตริย์และตั้ง เครือจักรภพแห่งอังกฤษ ทำให้พระเจ้าชาร์ลส์ทรงถูกสำเร็จโทษโดยการบั่นพระศอหน้าพระราชวังไวท์ฮอลล์ ในปี ค.ศ. 1649

โอลิเวอร์ ครอมเวลล์นำกำลังเข้าปราบปรามกบฏไอร์แลนด์อย่างดุร้ายในปี ค.ศ. 1649 ในสกอตแลนด์ พวกรักษาสัญญา (Covenanters ดูประวัติศาสตร์สกอตแลนด์) เกรงว่าอังกฤษจะเข้าควบคุมประเทศ จึงอัญเชิญพระโอรสของพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 1 ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าชาร์ลส์ แห่งสกอตแลนด์ ทำให้โอลิเวอร์ครอมเวลล์ออกจากไอร์แลนด์มาทำศึกกับสกอตแลนด์ในปี ค.ศ. 1650 เรียกว่า สงครามสามอาณาจักร (War of the Three Kingdoms) พระเจ้าชาร์ลส์และพวกสกอตพ่ายแพ้และถอยหนี ครอมเวลล์จึงตามไปในสกอตแลนด์ แต่พระเจ้าชาร์ลส์ทรงฉวยโอกาสนำทัพหลบหนีมาบุกอังกฤษในปี ค.ศ. 1651 สมทบกับพวกสนับสนุนกษัตริย์ แต่ครอมเวลล์ก็ตามมาทันและตีทัพพระเจ้าชาร์ลส์พ่ายแพ้ไป ทำให้พระเจ้าชาร์ลส์ทรงหลบหนีไปฝรั่งเศส จบสงครามกลางเมือง

เครือจักรภพอังกฤษ และรัฐผู้พิทักษ์ (ค.ศ. 1649 ถึง ค.ศ. 1660)

ดูบทความหลักที่: สมัยไร้กษัตริย์อังกฤษ

เมื่อระบอบกษัตริย์ถูกล้มล้างไปแล้ว รัฐสภาที่เหลือจึงกุมอำนาจไว้ทั้งหมด จัดตั้งประเทศเป็นสาธารณรัฐ ครอมเวลล์นำอังกฤษทำสงครามกับฮอลันดาในปี ค.ศ. 1652 ในสงครามอังกฤษ-เนเธอร์แลนด์ (Anglo-Dutch Wars) เพราะเนเธอร์แลนด์กำลังแผ่ขยายอาณานิคม แต่ในปี ค.ศ. 1653 ครอมเวลล์นำทัพยึดอำนาจจากรัฐสภาที่เหลือ ตั้งรัฐสภาแบร์โบนส์ และตั้ง รัฐผู้พิทักษ์ (Protectorate) โดยมีครอมเวลล์เองมีตำแหน่งเป็น เจ้าผู้พิทักษ์ แต่ครอมเวลล์ก็เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1659

ลูกชายของโอลิเวอร์ คือ ริชาร์ด ครอมเวลล์ (Richard Cromwell) ขึ้นเป็น เจ้าผู้พิทักษ์ แต่ถูกกองทัพตัวแบบใหม่ยึดอำนาจตั้งรัฐสภาที่เหลือขึ้นมาเหมือนเดิม และจอร์จ มองค์ ก็นำกองทัพจากสกอตแลนด์มาบุกยึดรัฐสภาอังกฤษในปี ค.ศ. 1660 ทำให้รัฐสภายุบตัวเองไป และตั้งรัฐสภาคอนเว็นท์ชั่น (Convention Parliament) พระเจ้าชาร์ลส์ทรงประกาศว่าจะทรงยอมจำนนแต่ให้พระองค์เป็นกษัตริย์ มองค์จึงอัญเชิญพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 กลับมาขึ้นครองราชย์

ฟื้นฟูระบอบกษัตริย์

พระเจ้าชาร์ลส์ทรงเรียกประชุมรัฐสภาอีกครั้ง ซึ่งออกกฎหมายบังคับให้นับถือนิกายเชิร์ช ออฟ อิงแลนด์ และกดขี่นิกายอื่น ๆ ในปี ค.ศ. 1662 ทรงอภิเษกสมรสกับแคทเธอรีนแห่งบรากังซา (Catherine of Braganza) จากโปรตุเกส ได้เมืองบอมเบย์ในอินเดียเป็นสินสมรส และทรงให้ตั้งอาณานิคมคาโรไลนา (Carolina) ตามพระนามในปี ค.ศ. 1663 ในรัชสมัยของพระองค์อาณานิคมอังกฤษเริ่มเติบโต โดยบริษัทอินเดียตะวันออกของบริเทน (British East India Company) ทำให้ทำสงครามกับฮอลันดาหลายครั้ง โดยพระเจ้าชาร์ลส์ทรงเป็นพันธมิตรกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส โดยทรงสัญญาอย่างลับๆว่าจะเข้ารีตคาทอลิก ในปี ค.ศ. 1665 กรุงลอนดอนเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ พระราชวงศ์และรัฐสภาต้องหนีออกจากลอนดอน และในปี ค.ศ. 1666 กรุงลอนดอนก็วอดวายด้วยเหตุการณ์ที่รู้จักกันในนาม “เพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในลอนดอน” ในปี ค.ศ. 1670 ก่อตั้งบริษัทอ่าวฮัดสัน (Hudson Bay Company) ไปตั้งอาณานิคมแคนาดา

แต่อังกฤษก็กลับมาทำสงครามขยายดินแดนของฝรั่งเศส (War of Devolution) กับฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1668 เพราะฝรั่งเศสกำลังมีอำนาจมากไป ในอังกฤษพระเจ้าชาร์ลส์ทรงผ่อนปรนพวกคาทอลิก ทำให้รัฐสภาไม่พอใจ ในปี ค.ศ. 1678 พวกแองกลิกันสร้างข่าวลือว่าพวกคาทอลิกวางแผนการคบคิดพ็อพพิชเพื่อลอบสังหารพระองค์ ทำให้ประชาชนหวาดกลัว และพระอนุชาของพระองค์ คือองค์ชายเจมส์ ก็กลายเป็นพวกคาทอลิก ในปี ค.ศ. 1679 รัฐสภาจะตัดองค์ชายเจมส์ออกจากการสืบสันติวงศ์ แต่พระเจ้าชาร์ลส์ทรงชิงยุบสภาเสียก่อน

การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์

เมื่อองค์ชายเจมส์ครองบัลลังก์เป็นพระเจ้าเจมส์ที่ 2 ก็ทรงต้องเผชิญกับกบฏหลายครั้ง ในปี ค.ศ. 1687 พระเจ้าเจมส์ทรงออกกฎหมายการใช้พระราชอำนาจขัดขวางการกดขี่ผู้นับถือนิกายโรมันคาทอลิก และในปี ค.ศ. 1688 เจ้าชายเจมส์พระโอรสที่เป็นคาทอลิกก็ประสูติ ทำให้ชาวอังกฤษกลัวว่าราชวงศ์คาทอลิกจะปกครองประเทศ จึงอัญเชิญพระสวามีขององค์หญิงแมรีพระธิดาพระเจ้าเจมส์ คือ เจ้าชายวิลล์เฮมแห่งออเรนจ์ ผู้ครองฮอลันดา มาบุกอังกฤษ พระเจ้าเจมส์ทรงหลบหนีไปฝรั่งเศส เจ้าหญิงแมรีและเจ้าชายแห่งออเรนจ์ขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีนาถแมรีที่ 2 และพระเจ้าวิลเลียมที่ 3 เรียกเหตุการณ์นี้ว่า การปฏิวัติอันรุ่งโรจน์

รัฐสภาออกกฎหมายห้ามมิให้พวกคาทอลิกขึ้นบัลลังก์อังกฤษ พระเจ้าเจมส์ทรงไปไอร์แลนด์ที่เป็นคาทอลิกเพื่อระดมพลมาสู้ แต่พระเจ้าวิลเลียมก็เอาชนะพระองค์ได้ที่บอยน์ (Boyne) ทำให้พระเจ้าเจมส์หนีกลับไปฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1689 รัฐสภาออกพระราชบัญญัติสิทธิ (Bill of Rights) ริดรอนพระราชอำนาจมิให้ทรงขัดขวางการออกกฎหมายหรือใช้พระราชทรัพย์และกำลังพลตามพระทัย ทำให้กษัตริย์อังกฤษทรงตกอยู่ภายใต้อำนาจรัฐสภามาถึงทุกวันนี้ พระเจ้าวิลเลียมทรงเกลียดชังฝรั่งเศสตั้งแต่ยังทรงครองฮอลันดา ทำให้ทรงนำอังกฤษเข้าร่วมสงครามมหาสัมพันธมิตร (War of the Grand Alliance) ในสกอตแลนด์เกิดกบฏจาโคไบต์ (Jacobite Rebellion) เพื่อนำพระเจ้าเจมส์กลับสู่บัลลังก์ ทำให้พระเจ้าวิลเลียมทรงนำทัพเข้าปราบปราม โดยเฉพาะการสังหารหมู่ที่เกลนโค (Massacre of Glencoe) สังหารชาวสกอตอย่างโหดร้าย

บนภาคพื้นทวีปทัพอังกฤษและฮอลันดาพ่ายแพ้ฝรั่งเศส และพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ยังทรงสนับสนุนพระเจ้าเจมส์อีกด้วย แต่ในปี ค.ศ. 1697 พระเจ้าหลุยส์ทรงยอมรับพระเจ้าวิลเลียม เพื่อให้ได้ดินแดนตอบแทน ในปี ค.ศ. 1700 พระเจ้าวิลเลียมทรงให้ใช้ลอนดอนเป็นที่หารือว่าสเปน (ราชวงศ์แฮปสบูร์กสิ้นสุด) จะตกเป็นของใคร แต่พระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2 แห่งสเปน ก่อนสิ้นพระชนม์ยกสเปนและดินแดนอื่นๆทั้งหมดให้พระเจ้าฟิลิปที่ 5 แห่งสเปน พระนัดดาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส ทำให้ชาติต่าง ๆ รวมทั้งอังกฤษ ทำสงครามสืบราชสมบัติสเปน (War of the Spanish Succession)

การสืบราชสมบัติอังกฤษก็สำคัญไม่แพ้กัน ทรงมอบบัลลังก์ให้องค์หญิงแอนน์ พระขนิษฐาของพระนางแมรี และออกพระราชบัญญัติการสืบราชสมบัติ (Act of Settlement) ในปี ค.ศ. 1701 ว่าหากราชวงศ์โปรเตสแตนต์สิ้นไป ให้พระนางโซฟี ภริยาของอิเลกเตอร์แห่งแฮนโนเวอร์ (Sophie, Electress of Hannover) ในเยอรมนี พระนัดดาของพระเจ้าเจมส์ที่ 1 ครองบัลลังก์อังกฤษ

ก่อตั้งบริเตนใหญ่

หลังจากที่เจ้าหญิงแอนน์เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระราชินีนาถแอนน์แห่งบริเตนใหญ่แล้วพระองค์ก็ทรงส่งพระสวามีดยุกคัมเบอร์แลนด์และจอห์น เชอร์ชิลล์ ดยุกแห่งมาร์ลเบรอผู้เป็นบรรพบุรุษของวินสตัน เชอร์ชิลไปทำสงครามต่อต้านการขยายตัวของฝรั่งเศสและสเปน ในรัชสมัยของพระองค์รัฐสภาแบ่งออกเป็นฝ่ายวิก (Whig) และฝ่ายโทรี (Tory) อย่างชัดเจน พระองค์เองโปรดพรรคโทรีมากกว่า แต่เมื่อดยุกแห่งมาร์ลเบรอได้รับชัยชนะต่อฝรั่งเศสในยุทธการเบล็นไฮม์ ในปี ค.ศ. 1704 แล้วฝ่ายวิกก็มีอำนาจมากขึ้น

เมื่ออังกฤษแก้ปัญหาการสืบสันติวงศ์โดยการออกพระราชบัญญัติการสืบสันตติวงศ์ ค.ศ. 1701 โดยมิได้ปรึกษารัฐสภาสกอตแลนด์ ที่เป็นผลทำให้รัฐสภาสกอตแลนด์ผู้ต้องการจะรักษาราชวงศ์สจวตไว้ต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อความปลอดภัย ค.ศ. 1704 ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติที่ระบุว่าเมื่อสิ้นสุดจากพระราชินีนาถแอนน์แล้ว สกอตแลนด์มีอำนาจที่จะเลือกประมุขพระองค์ต่อไปสำหรับราชบัลลังก์สกอตแลนด์จากผู้สืบเชื้อสายของราชวงศ์ของสกอตแลนด์ ทางรัฐสภาอังกฤษเกรงว่าสกอตแลนด์จะหันกลับไปเป็นพันธมิตรกับฝรั่งเศสถ้าสกอตแลนด์ได้รับเอกราช ทางการอังกฤษจึงได้ขู่ว่าจะออกพระราชบัญญัติต่างด้าว ค.ศ. 1705 (Alien Act 1705) เป็นการตอบโต้ ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติที่ระบุว่าอังกฤษจะต่อต้านสกอตแลนด์ทางเศรษฐกิจและจะประกาศให้ชาวสกอตแลนด์เป็นคนต่างด้าวทั้งหมด (ซึ่งเป็นการทำให้มีผลกระทบกระเทือนต่อสิทธิในการเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ของชาวสกอตแลนด์ในอังกฤษ) เว้นแต่สกอตแลนด์จะยกเลิกพระราชบัญญัติรักษาความปลอดภัยและเข้ารวมตัวกับอังกฤษ รัฐสภาสกอตแลนด์เลือกการรวมตัว เมื่อตกลงกันได้แล้วก็มีการออกพระราชบัญญัติสหภาพ ค.ศ. 1707 ที่รวมอังกฤษและสกอตแลนด์เป็นอาณาจักรเดียวกันในชื่อ “บริเตนใหญ่” เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม ค.ศ. 1707 [1]

เมื่อสมเด็จพระราชินีนาถแอนน์เสด็จสวรรคตโดยไม่มีรัชทายาท เจ้าชายจอร์จแห่งฮาโนเวอร์ผู้เป็นพระโอรสของเจ้าหญิงโซเฟียแห่งฮาโนเวอร์ผู้เป็นรัชทายาทตามพระราชบัญญัติการสืบสันตติวงศ์ ค.ศ. 1701 แต่มาสิ้นพระชนม์เสียก่อน ก็เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 1 แห่งบริเตนใหญ่ เป็นปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ฮาโนเวอร์

ใกล้เคียง

ประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ไทย ประวัติศาสนาพุทธ ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ประวัติศาสตร์จีน ประวัติศาสตร์โลก ประวัติศาสตร์สหรัฐ ประวัติศาสตร์สเปน ประวัติศาสตร์เยอรมนี ประวัติศาสตร์อินเดีย